Wednesday, September 15, 2010

หลับเมืองไทย ตื่นในยุโรป

กริ๊งงงง... กริ๊งงงง...! เสียงโทรศัพท์ฉันดังขึ้นในเช้าวันหนึ่ง หลังจากดูเบอร์โทรที่ขึ้นโชว์อยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ไม่เคยวางห่างจากตัวเลยในช่วงหนึ่งเดือนเศษๆ ที่ผ่านมา ฉันตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์โทรจากทางสถานฑูต คิดอยู่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย

"สวัสดีค่ะ ขอสายคุณอัญขณาค่ะ" เสียงกล่าวทักทายเคร่งครึม
"พูดสายค่ะ" ฉันตอบ
"จากสถานฑูตสเปนค่ะ โทรมาแจ้งว่าวีซ่าของคุณได้รับอนุมัติเรียบร้อยแล้วนะคะ ให้เข้ามารับได้เลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา บ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง อย่าลืมออกตั๋วเครื่องบินไป - กลับ แล้วถ่ายเอกสารเพื่อมารับหนังสือเดินทางด้วยนะคะ" เสียงคุ้นเคยจากทางสถานฑูตกล่าวชัดถ้อยชัดคำและรวบรัด
"ขอบคุณค่ะ" ฉันกล่าวอย่างตื่นเต้น แแล้วก็ตัดสายไป

หลังจากวางสาย ฉันกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ วิ่งไปแจ้งข่าวให้ทุกคนทราบ และไม่รีรอที่จะโทรศัพท์ไปทางเอเจนซี่เพื่อออกตั๋วเครื่องบินในทันทีทันใด ทุกคนที่บ้านต่างก็ดีใจ แต่ก็เสียใจในเวลาเดียวกันที่ฉันต้องเดินทางไกล​ (อีกแล้ว) ไปต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งคราวนี้ฉันไปนานกว่าทุกครั้ง อย่างน้อยก็เป็นเวลาหนึ่งปี ...​หนึ่งปีที่จะไม่ได้อยู่กับครอบครัว หนึ่งปีที่จะไม่ได้เจอพวกพ้อง หนึ่งปีกับสิ่งใหม่ๆ วัฒนธรรมใหม่ๆ และภาษาแปลกๆ

ฉันเตรียมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ใส่ของไว้มากมายพร้อมทั้งของฝากสำหรับครอบครัวเอบา ของฝากพิเศษสำหรับครอบครัวที่สองของฉัน อย่างน้อยก็ในระยะเวลาหนึ่งปี แม่ฉันมักจะเข้ามาช่วยจัดของในห้อง และกำชับอยู่เสมอว่าให้รู้จักเกรงใจครอบครัวเขา ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายได้ก็ต้องช่วย และกำชับด้วยว่า ถ้าไม่มีเงินก็ให้บอกมา "ห้ามไปล่อวัวกระทิงนะ" ...​ "เอ่อ... เห็นลูกแม่ห่ามขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?" ฉันหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ก่อนจะตอบกลับไปให้แม่มั่นใจและหายห่วง

วันที่ 22 เมษายน ปี 2004 แทบทุกคนที่บ้านเดินทางมาส่งฉันที่สนามบินดอนเมือง พนักงาน Ground ของ Singapore Airlines อัธยาศัยดีให้ฉันนั่งติดหน้าต่าง หลังจากได้ Boarding Pass เรียบร้อยแล้ว ก็ใช้เวลาที่เหลือไม่เท่าไหร่กับครอบครัว วันนี้หลานชายคนเล็กมาส่งฉันขึ้นเครื่องด้วย "ก้อง" ดูจะตื่นเต้นมากกว่าฉัน เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นเครื่องบิน ตลอดเวลาที่รอเครื่อง ก้องไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากทำเสียงตื่นเต้น และร้องบอกทุกครั้งว่า "เครื่องบิน เครื่องบิน!"

เครื่องบินลำใหญ่ Silk Air จอดรออยู่ที่ลาน พนักงานบนเครื่องยิ้มแย้มแจ่มใส หมอน ผ้าห่ม และหูฟังถูกแจกจ่ายให้กับผู้โดยสาร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางข้ามคืน เป็นระยะเวลาถึง 12 ชั่วโมง ฉันเริ่มศึกษาการใช้งานโทรทัศน์ส่วนตัวบนเครื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นชั้นนักธุรกิจก็ตามแต่ หลังจากเครื่องออกได้ไม่นาน สัญญาณรัดเข็มขัดนิรภัยก็ถูกดับลง พนักงานต้อนรับก็เริ่มปฏิบัติภารกิจบนเครื่องบิน "ได้เวลาอาหารเย็นแล้วสิเนี่ย กินเสร็จแล้วจะได้นอน จะได้ไม่ Jet lagged" ฉันรีบค้นหารายการทีวี หรือภาพยนต์ที่น่าสนใจสำหรับอาหารมื้อค่ำ

บ่ายกว่าๆ เวลาท้องถิ่นสเปน ผู้โดยสารส่วนใหญ่เริ่มตื่นและเริ่มเดินพลุกพล่านในเครื่อง เพื่อที่จะเป็นการยืดเส้นยืดสาย ฉันมั่งมองออกนอกหน้าต่างอย่างใจจดใจจ่อ ผืนน้ำสีครามแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนช่างน่าประทับใจ อีกเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น  หลังจากผ่านน่านนานเมดิเตอร์เรเนียนได้ไม่นานนัก นักบินก็เริ่มประกาศลดความสูงเพื่อเข้าจอดที่กรุงมาดริด ทัศนียภาพที่เห็นก็เริ่มเปลี่ยนไป ฉันไม่รู้มาก่อนว่าสเปนเป็นเมืองแห้งแล้ง มองไปทางไหนก็เป็นภูเขาโล้นๆ สีน้ำตาล ฉันเริ่มผิดหวังเล็กน้อย

เอบามารอรับฉันที่สนามบินหลังจากที่ไม่ได้เห็นกันอยู่หลายเดือน เธอเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย ผมทองเป็นลอน เสื้อสายเดี่ยว กางเกงยีนส์ รองเท้าส้นสูง เธอผอมลงนิดหน่อย แต่สวยขึ้นเป็นกอง เอบาทักทายฉันด้วยการแนบแก้มสองครั้ง ตามทำเนียมสเปน หลังจากสนทนาทักทายกันนิดหน่อย เราทั้งสองก็เรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังบ้านของเธอ

สนามบินมาดริดตั้งอยู่ทางเหนือของกรุงมาดริด ถึงแม้การคมนาคมจะสะดวกสบาย มีรถไฟฟ้าใต้ดินจนถึงใจกลางเมือง แต่หากต้องอาศัยรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อเดินทางไปถึงบ้านเอบาซึ่งอยู่ทางใต้ของมาดริด เราคงต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ดังนั้นแท็กซี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ประตูถึงประตู ไม่ต้องลากกระเป๋าใบโต ขึ้นๆ ลงๆ บันไดรถไฟใต้ดิน ซึ่งคนที่นี่เค้าเรียกกันว่า "เมโตร" (METRO)

ป้ายรถไฟฟ้าใต้ดิน แค่เดินตามป้ายก็ถึงประตูรถไฟ

1 comment: