Sunday, September 26, 2010

บ้านสีขาว รั้วสีเขียว และต้นไม้ใหญ่

รถแท็กซี่อาศัยถนนวงแหวนมาดริด (M-40) เพื่อเดินทางไปยังบ้านเอบาซึ่งอยู่ทางใต้ของใจกลางเมืองมาดริด

ถนนวงแหวน M-40 เป็นวงแหวนสายกลาง ฉันเรียกว่าสายกลาง เนื่องจากมาดริดมี 3 ถนนวงแหวนด้วยกัน M-30, M-40 และ M-50 โดย M-30 เป็นวงแหวนภายในใจกลางเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรผ่านตรอกเล็กตรอกน้อย M-40 เป็นวงแหวนสายกลาง ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อตัวเมืองมาดริดและเมืองรอบด้าน ถ้าจะเทียบแล้วก็คล้ายกับวงแหวนรอบนอกที่กรุงเทพ ส่วน M-50 เป็นวงแหวนรอบนอกสุด เชื่อมเมืองรอบนอกกับเมืองรอบนอกด้วยกัน เป็นวงแหวนสายยาวมากๆ และไม่บรรจบ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ M-40 มากกว่า M-50

เนื่องจากเราวิ่งรถจากรอบนอกเมืองมาดริด ทำให้ไม่สามารถมองเห็นตัวเมืองมากนัก นอกจากวิวรอบนอก บ้านเมืองรอบนอก​ ซึ่งเป็นตึกรามบ้านช่องสมัยใหม่่ ผู้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ และทิวทัศน์บางส่วนอาจดูแห้งแล้ง เป็นเทือกเขาเล็กๆ และยังคงเป็นสีน้ำตาลอยู่ ถึงแม้ฉันจะเดินทางมาสเปนในช่วงต้นๆ ของฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่ดอกไม้ ใบไม้จะผลิบาน

บ้านเอบาเป็นบ้านหลังเล็กๆ สีขาว ที่บ้านเมืองเราอาจเรียกว่าทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียว เนื่องจากทั้งสองผนังเชื่อมต่อกับบ้านหลังอื่น แต่เป็นที่น่าแปลกเมื่อมองไปรอบๆ บ้านมีแต่ตึกสูงๆ และมีเพียงบ้านสามหลังอยู่ใจกลางตึกแท่งเหล่านั้น บ้านเธอดูน่ารักน่าชัง บ้านหลังเล็กๆ สีขาว ประตูสีเขียวกลมกลืนกับรั้วสีเขียวจากต้นไม้ ฉันเข็นกระเป๋าใบโตผ่านสวนเล็กๆ หน้าบ้าน ที่มีต้นไม้ ไม่ใหญ่มากมายนัก สูงชันหลังคาบ้าน แต่ให้ซุ้มกว้างขวาง พอที่โต๊ะและเก้าอี้สวนสีขาวจะถูกตั้งไว้เพื่อสัมผัสบรรยากาศในสวนกลางเมืองได้อย่างดี ดอกไม้หลากสีสันจากพืชล้มลุกริมทางเดินหินสีขาวที่ถูกเรียงรายเพื่อนำทางไปสู่ประตูภายในใต้ซุ้มไม้ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีอายุต่ำกว่า 12 ปี




ด้วยวัฒนธรรมชาวสเปนอาจจะแตกต่างจากวัฒนธรรมไทยเราอยู่อย่างนึง เมื่อมีใครมาเยี่ยมบ้านครั้งแรก เจ้าบ้านมักจะพาชมบ้านตั้งแต่ทางเข้าบ้าน ห้องน้ำ ห้องครัว จนถึงห้องนอน ถึงแม้จะเป็นเพียงการเยี่ยม เพื่อทักทายตามปกติวิสัย หรือในกรณีของฉัน "เยี่ยมพอขออยู่อาศัย" จริงๆ แล้วคนสเปนเค้าเชื่อกันว่า "ถ้าจะรู้จักใครสักคน ให้รู้จักบ้านของเขาด้วย ถึงจะเรียกได้ว่ารู้จักกันจริงๆ"

ภายในบ้านใหม่แต่ไม่ถาวรของฉัน มีเพียง 3 ห้องนอน เพียงพอสำหรับพ่อ แม่ และลูก 2 คน ห้องครัวกว้างขวาง ดูปลอดโปร่ง พร้อมประตูสำหรับออกไปยังสวนเล็กๆ หลังบ้าน ที่มีไว้สำหรับห้องเก็บของ และเก็บจักรยานที่บรรจุเรื่องราววัยเยาว์ไว้เป็นอย่างดี ห้องน้ำ และห้องนั่งเล่นที่ถูกตกแต่งไว้อย่างกลมกลืน ด้วยผนังสีเปลือกไข่ โซฟาสีน้ำตาลอ่อน ผนังทั้งสี่ด้านนอกจากจะถูกแบ่งเป็นหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ยังเติมเต็มไปด้วยภาพเขียนทั้งสีน้ำสีน้ำมัน ฝีมือแม่บ้าน และชั้นหนังสือสูงจรดเพดานบ่งบอกถึงนิสัยรักการอ่านของเจ้าบ้าน ห้องนอนของเอบ่าถูกตกแต่งใหม่ด้วยเตียงสองชั้น หลังจากรับรู้ข่าวการเดินทางมาพักอาศัยของฉัน ด้วยอัธยาศรัยและการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีของเจ้าบ้าน ฉันรู้สึกอบอุ่น และตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก


วันที่ฉันเดินทางไปถึง เป็นวันที่ทุกคนในบ้านต่างทำงาน เอบาลางานเพียงครึ่งวันเพื่อมารับฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะตื่นเต้น และกระตือรือร้นที่จะได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเอบา แต่ก็คงต้องรอจนกระทั่งทุกคนกลับจากที่ทำงาน หลังจากที่ฉันได้วางกระเป๋าใบโต และเตรียมตัวที่จะจัดของเข้าที่เข้าทาง เพื่อนสาวของฉันจึงบอกว่า

"ไม่ต้องห่วงเรื่องกระเป๋าหรอก ไว้พักผ่อนแล้วค่อยรื้อก็ได้ ฉันกำลังเตรียมอาหารกลางวัน กินเสร็จแล้วฉันต้องกลับไปทำงาน เธอจะทำอะไรหลังจากกินข้าว จะนอนพักหรือเปล่า?"

"อืมม..​ไม่รู้สิ คิดว่าคงจะไปในเมืองนะ คงจะไปเดินเล่นสักหน่อย ตื่นเต้น อยากเห็นตัวเมือง" ฉันบอก

"ไม่เหนื่อยเหรอ" เธอถาม

"นอนมาทั้งคืนแล้วน่ะ ในเครื่อง ตอนนี้ยังไม่ง่วง ขืนนอนตอนนี้คงปรับเวลาไม่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ แค่บอกว่าขึ้นรถไฟสายไหน ไปลงไหน แล้วกลับยังไงก็พอแล้ว" ฉันบอก

"แน่ใจนะว่าจะไม่หลง?" เอบาถามอย่างลังเล

"เอาน่า ไม่ต้องห่วง ด้วยสันชาติญาณนักเดินทางอย่างฉัน จะยากอะไรแค่ขากลับขึ้นกับลงรถสถานีเดียวกันกับขาไป ก็ถึงที่บ้านแล้ว" ฉันตอบอย่างมั่นใจ

เนื่องจากเอบาทำอาหารไม่เป็น อาหารกลางวันมื้อนั้นจึงเป็นพาสต้าสำเร็จรูป รสชาตไม่เลวทีเดียว ปกติแล้วแม่ของเธอจะเป็นคนทำอาหาร และทำทิ้งไว้ในตู้เย็นสำหรับทั้งอาทิตย์ เนื่องจากเอบากลับมาทานอาหารกลางวันที่บ้านทุกวัน ซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัดได้มากทีเดียว ด้วยการจราจรที่ไม่ขับคั่งอย่างกรุงเทพ และรถไฟฟ้าใต้ดินที่เชื่อมต่อถึงแทบทุกตรอกซอกซอยในตัวเมือง ทำให้การเดินทางกลับมาพักผ่อนที่บ้านก่อนกลับเข้าไปทำงาน เป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก

ตารางเวลาการทำงานที่สเปนทำให้ฉันต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก ฉันถามเอบาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้เคียง ซึ่งตั้งอยู่เพียงสองถนนถัดจากบ้าน ฉันเดินท่ามกลางแดดจ้าเพียงเพื่อไปซื้อของใช้ส่วนตัว กลับพบว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตปิด ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยความงุนงง และบอกกับเธอว่า "ซุปเปอร์ปิด" เธออึ้งและทำหน้าตารู้สึกผิด พร้อมกับบอกฉันว่า "ขอโทษที ฉันลืมไปว่าซุปเปอร์ยังไม่เปิด จนกระทั่งห้าโมงครึ่ง" หลังจากนั้นเธอจึงเล่าให้ฟังว่า ตารางเวลาการทำงานส่วนใหญ่ที่สเปน รวมถึงซุปเปอร์คือ ช่วงเช้า 9.00-14.00 หลังจากนั้นจะเปิดอีกทีตั้งแต่ 17.30-20.30 ซึ่งช่วงพักกลางวันนั้นเพียงพอที่ทุกคนจะกลับบ้านไปทานอาหารกลางวันพร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้าน และนอนพักกลางวันก่อนกลับไปทำงาน ซึ่งการนอนพักกลางวัน (la siesta) เป็นวัฒนธรรมของชาวสเปน

2 comments:

  1. วัฒนธรรมของชาวสเปน = นอนกลางวัน
    น่าไปอยู่จิงๆ

    ReplyDelete
  2. ช่างเป็นน้องที่น่ารักจริงๆ คอมเม้นตลอดเวลา...​คลิกโฆษณาให้ด้วยน๊าาา

    ReplyDelete