Friday, September 3, 2010

เกริ่น... "ทำไมสเปน"

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เขียนบล็อกของตัวเอง..... ตั้้งลำมานานแรมปี

คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุด ตั้งแต่ก่อนการเริ่มเดินทาง จนถึงกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังถูกถามอยู่ ตั้งแต่ญาติพี่น้อง เพื่อนพ้อง จนถึงคนแปลกหน้า "ทำไมสเปน???" นั่นน่ะสิ ทำไมถึงสเปน แล้วทำไมทุกคนถึงถามคำถามนี้ ก็เพราะเมื่อการเดินทางไปอังกฤษ อเมริกา หรือออสเตรเลียกำลังอิน ฉันเดินทางมาสเปน.... มันก็ไม่น่าแปลกหรอกที่ทุกคนจะถาม เพราะแทบจะไม่มีใครรู้จักสเปนดีสักทีเดียว ว่าจะไปทำอะไร อยู่ที่ไหน กินยังไง... ต่างๆ นานา

การวางแผนการเดินทางมาถิ่นกระทิงดุเริ่มต้นจากการใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ในออสเตรเลีย หลังจากอยู่ร่วมชายคากับชาวละติน กินอยู่กับชาวละติน ฟังเรื่องเล่าต่างๆ เป็นภาษาสเปน ที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นภาษาแห่งพระเจ้า หรือเพื่อนชาวเกาะของฉันบอกว่าเป็นภาษาแห่งความรัก อืมมม... ฟังดูดีทีเดียว ถึงแม้จะฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดไม่ได้สักคำ แต่มันก็มีพลังมากบอกที่ฉันจะแบ่งปันส่วนของความเป็นไทยที่ฉันมีอยู่น้อยนิดในขณะนั้น ให้ความเป็นสแปนิชเข้ามามีส่วนหนึ่งในชีวิต

กลุ่มผองเพื่อนที่ว่ากันได้ว่าเกือบจะอยู่ร่วมชายคากันในบริสเบนมีทั้งชาวเม็กซิกัน ชาวสเปน ชาวอาร์เจนติน่า ชาวชิเลียน และชาวโคลัมเบียน ซึ่งมีฉันเพียงคนเดียวที่ต้องอาศัยภาษาอังกฤษในการสื่อสาร หลังจากการเรียน การสนุกสนาน และการใช้ชีวิตสำมะเลเทเมากับชาวละตินซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพวกที่รักสนุกมากที่สุดในโลก ก็ถึงเวลาย่างก้าวกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน... ขอบคุณ Microsoft และ Messenger ที่เป็นสื่อให้ฉันได้ติดต่อพูดคุยและวางแผนอย่างต่อเนื่องในการเดินทางมายังสเปน

หลังจากติดสินใจได้แล้วว่าถ้าอยากจะเรียนภาษาสเปน ที่ใดจะดีไปกว่าแผ่นดินแม่ของภาษาสเปน ไม่ใช่อาร์เจนติน่า หรือเม็กซิโกอย่างแน่นอน (อย่าน้อยใจนะเพื่อน) เพื่อนสาวแสนสวยของฉัน "Eva" (ออกเสียงว่า "เอบา") ได้ช่วยทำเอกสารการเดินทางมาเรียนต่อที่กรุงมาดริด สิ่งที่ฉันต้องเตรียมตัวจากเมืองไทยคือหนังสือรับรองการเรียน ไม่ว่าจะเป็นเอกสารรับเข้าเรียนต่อจากทางโรงเรียนสอนภาษาหรือโรงเรียนใดๆ ที่ฉันคิดอยากจะเรียนต่อ เอบาต้องทำหนังสือรับรองการเป็นสปอนเซอร์ให้ฉัน ก็ต้องเป็นเรื่องเป็นราวเดือดร้อนถึง Juan María (ออกเสียงว่า "คฮวน มาเรีย") พ่อผู้แสนดีของเอบาให้ทำหนังสือรับรองให้มาพักอาศัยที่บ้านเขา ซึ่งฉันมารู้เรื่องราวความยุ่งยากของการทำหนังสือนี้หลังจากเหยียบย่างสู่แผ่นดินกระทิง

หนังสือรับรองนี้ต้องยื่นเรื่องทำต่อหน้า Notaria ซึ่งก็คือสำนักงานทนายความนั่นเอง เอกสารที่ต้องทำยื่นก็คือหนังสือรับรองเงินเดือน เอกสารประชาชน และอาจต้องยื่นสมุดธนาคารเพื่อนยืนยันว่าบุคคลผู้นี้มีความสามารถทางการเงินพอเพียงที่จะเอื้อเฟื้อที่อยู่ให้ผู้อื่นได้พักอาศัย นั่นก็หมายถึงว่าจะมีเงินพอซื้อข้าวให้ฉันกินหรือเปล่าว่างั้นเหอะ... เฮ้อ

เอาละ หลังจากได้เอกสารทุกอย่างเรียบร้อยทั้งจากทางโรงเรียน และจากทางสปอนเซอร์ ก็ถึงคราวยื่นเรื่องขอวีซ่า ณ สถานทูตสเปน ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่ อาคา Lake รัชดา ตรงข้ามศูนย์สิริกิตต์ Unit 98-99 ชั้น 23 โทรศัพท์ 02 252 6112, 02 252 8268 และ 02 253 5132-34 เอกสารที่ต้องยื่นก็เยอะแยะอย่างที่ทุกคนรู้กัน ซึ่งคร่าวๆ ก็มีดังนี้

1. เอกสารตอบรับจากทางโรงเรียน
2. เอกสารรับรองจากทางสปอนเซอร์ (เอกสารจากคฮวนมาเรีย)
3. จดหมายเกริ่นนิดหน่อยว่าทำไมเราอยากไปเรียนที่นั่น ถ้าไม่รู้ภาษาสเปนก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ได้
4. หนังสือรับรองการเงินจากธนาคาร ของสปอนเซอร์ทางเมืองไทย ซึ่งก็คือบิดาของดิฉันนั่นเอง ในที่นี้เป็นหนังสือรับรองเนื่องจากพ่อฉันมีบัญชีกระแสรายวัน ถ้าเป็นบัญชีออมศัพท์ก็ควรจะมีเงินมากเพียงพอที่จะไปใช้อยู่กินที่โน่น ซึ่งก็ประมาณ 50€ ต่อวันก็คำนวณกันไป (หลักนี้ใช้ได้กับการทำวีซ่าท่องเที่ยวยุโรปในเขตเชงเก้นเช่นกัน)
5. บัตรประชาชนของสปอนเซอร์
6. รูปถ่ายเรา
7. พาสปอร์ตเรา
8. ใบสมัครวีซ่า
9. ใบจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ (อย่าเพิ่งออกตั๋วนะ เผื่อไม่ได้วีซ่า)

ทุกอย่างควรจะถ่ายเอกสารเป็นสองชุด

อืม.. เมื่อเอกสารพร้อมแล้วก็แต่งตัว หมุนซ้ายหมุนขวาหน้ากระจก ดูให้ดีว่าเราไม่เหมือนพวกที่เค้าจะต้องห้ามเข้าประเทศ แล้วก็เตรียมบทสัมภาษณ์ให้ดีๆ

ไว้มาดูกันต่อว่าฉันเจออะไรบ้างที่สถานทูต (ว่ากันว่าเป็นอาณาเขตกระทิงดุแล้วแหละ) ...

2 comments:

  1. แล้วอ่่านตอนสอง ตอนสามยังนี่

    ReplyDelete