Sunday, September 26, 2010

บ้านสีขาว รั้วสีเขียว และต้นไม้ใหญ่

รถแท็กซี่อาศัยถนนวงแหวนมาดริด (M-40) เพื่อเดินทางไปยังบ้านเอบาซึ่งอยู่ทางใต้ของใจกลางเมืองมาดริด

ถนนวงแหวน M-40 เป็นวงแหวนสายกลาง ฉันเรียกว่าสายกลาง เนื่องจากมาดริดมี 3 ถนนวงแหวนด้วยกัน M-30, M-40 และ M-50 โดย M-30 เป็นวงแหวนภายในใจกลางเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรผ่านตรอกเล็กตรอกน้อย M-40 เป็นวงแหวนสายกลาง ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อตัวเมืองมาดริดและเมืองรอบด้าน ถ้าจะเทียบแล้วก็คล้ายกับวงแหวนรอบนอกที่กรุงเทพ ส่วน M-50 เป็นวงแหวนรอบนอกสุด เชื่อมเมืองรอบนอกกับเมืองรอบนอกด้วยกัน เป็นวงแหวนสายยาวมากๆ และไม่บรรจบ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ M-40 มากกว่า M-50

เนื่องจากเราวิ่งรถจากรอบนอกเมืองมาดริด ทำให้ไม่สามารถมองเห็นตัวเมืองมากนัก นอกจากวิวรอบนอก บ้านเมืองรอบนอก​ ซึ่งเป็นตึกรามบ้านช่องสมัยใหม่่ ผู้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ และทิวทัศน์บางส่วนอาจดูแห้งแล้ง เป็นเทือกเขาเล็กๆ และยังคงเป็นสีน้ำตาลอยู่ ถึงแม้ฉันจะเดินทางมาสเปนในช่วงต้นๆ ของฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่ดอกไม้ ใบไม้จะผลิบาน

บ้านเอบาเป็นบ้านหลังเล็กๆ สีขาว ที่บ้านเมืองเราอาจเรียกว่าทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียว เนื่องจากทั้งสองผนังเชื่อมต่อกับบ้านหลังอื่น แต่เป็นที่น่าแปลกเมื่อมองไปรอบๆ บ้านมีแต่ตึกสูงๆ และมีเพียงบ้านสามหลังอยู่ใจกลางตึกแท่งเหล่านั้น บ้านเธอดูน่ารักน่าชัง บ้านหลังเล็กๆ สีขาว ประตูสีเขียวกลมกลืนกับรั้วสีเขียวจากต้นไม้ ฉันเข็นกระเป๋าใบโตผ่านสวนเล็กๆ หน้าบ้าน ที่มีต้นไม้ ไม่ใหญ่มากมายนัก สูงชันหลังคาบ้าน แต่ให้ซุ้มกว้างขวาง พอที่โต๊ะและเก้าอี้สวนสีขาวจะถูกตั้งไว้เพื่อสัมผัสบรรยากาศในสวนกลางเมืองได้อย่างดี ดอกไม้หลากสีสันจากพืชล้มลุกริมทางเดินหินสีขาวที่ถูกเรียงรายเพื่อนำทางไปสู่ประตูภายในใต้ซุ้มไม้ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีอายุต่ำกว่า 12 ปี




ด้วยวัฒนธรรมชาวสเปนอาจจะแตกต่างจากวัฒนธรรมไทยเราอยู่อย่างนึง เมื่อมีใครมาเยี่ยมบ้านครั้งแรก เจ้าบ้านมักจะพาชมบ้านตั้งแต่ทางเข้าบ้าน ห้องน้ำ ห้องครัว จนถึงห้องนอน ถึงแม้จะเป็นเพียงการเยี่ยม เพื่อทักทายตามปกติวิสัย หรือในกรณีของฉัน "เยี่ยมพอขออยู่อาศัย" จริงๆ แล้วคนสเปนเค้าเชื่อกันว่า "ถ้าจะรู้จักใครสักคน ให้รู้จักบ้านของเขาด้วย ถึงจะเรียกได้ว่ารู้จักกันจริงๆ"

ภายในบ้านใหม่แต่ไม่ถาวรของฉัน มีเพียง 3 ห้องนอน เพียงพอสำหรับพ่อ แม่ และลูก 2 คน ห้องครัวกว้างขวาง ดูปลอดโปร่ง พร้อมประตูสำหรับออกไปยังสวนเล็กๆ หลังบ้าน ที่มีไว้สำหรับห้องเก็บของ และเก็บจักรยานที่บรรจุเรื่องราววัยเยาว์ไว้เป็นอย่างดี ห้องน้ำ และห้องนั่งเล่นที่ถูกตกแต่งไว้อย่างกลมกลืน ด้วยผนังสีเปลือกไข่ โซฟาสีน้ำตาลอ่อน ผนังทั้งสี่ด้านนอกจากจะถูกแบ่งเป็นหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ยังเติมเต็มไปด้วยภาพเขียนทั้งสีน้ำสีน้ำมัน ฝีมือแม่บ้าน และชั้นหนังสือสูงจรดเพดานบ่งบอกถึงนิสัยรักการอ่านของเจ้าบ้าน ห้องนอนของเอบ่าถูกตกแต่งใหม่ด้วยเตียงสองชั้น หลังจากรับรู้ข่าวการเดินทางมาพักอาศัยของฉัน ด้วยอัธยาศรัยและการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีของเจ้าบ้าน ฉันรู้สึกอบอุ่น และตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก


วันที่ฉันเดินทางไปถึง เป็นวันที่ทุกคนในบ้านต่างทำงาน เอบาลางานเพียงครึ่งวันเพื่อมารับฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะตื่นเต้น และกระตือรือร้นที่จะได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเอบา แต่ก็คงต้องรอจนกระทั่งทุกคนกลับจากที่ทำงาน หลังจากที่ฉันได้วางกระเป๋าใบโต และเตรียมตัวที่จะจัดของเข้าที่เข้าทาง เพื่อนสาวของฉันจึงบอกว่า

"ไม่ต้องห่วงเรื่องกระเป๋าหรอก ไว้พักผ่อนแล้วค่อยรื้อก็ได้ ฉันกำลังเตรียมอาหารกลางวัน กินเสร็จแล้วฉันต้องกลับไปทำงาน เธอจะทำอะไรหลังจากกินข้าว จะนอนพักหรือเปล่า?"

"อืมม..​ไม่รู้สิ คิดว่าคงจะไปในเมืองนะ คงจะไปเดินเล่นสักหน่อย ตื่นเต้น อยากเห็นตัวเมือง" ฉันบอก

"ไม่เหนื่อยเหรอ" เธอถาม

"นอนมาทั้งคืนแล้วน่ะ ในเครื่อง ตอนนี้ยังไม่ง่วง ขืนนอนตอนนี้คงปรับเวลาไม่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ แค่บอกว่าขึ้นรถไฟสายไหน ไปลงไหน แล้วกลับยังไงก็พอแล้ว" ฉันบอก

"แน่ใจนะว่าจะไม่หลง?" เอบาถามอย่างลังเล

"เอาน่า ไม่ต้องห่วง ด้วยสันชาติญาณนักเดินทางอย่างฉัน จะยากอะไรแค่ขากลับขึ้นกับลงรถสถานีเดียวกันกับขาไป ก็ถึงที่บ้านแล้ว" ฉันตอบอย่างมั่นใจ

เนื่องจากเอบาทำอาหารไม่เป็น อาหารกลางวันมื้อนั้นจึงเป็นพาสต้าสำเร็จรูป รสชาตไม่เลวทีเดียว ปกติแล้วแม่ของเธอจะเป็นคนทำอาหาร และทำทิ้งไว้ในตู้เย็นสำหรับทั้งอาทิตย์ เนื่องจากเอบากลับมาทานอาหารกลางวันที่บ้านทุกวัน ซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัดได้มากทีเดียว ด้วยการจราจรที่ไม่ขับคั่งอย่างกรุงเทพ และรถไฟฟ้าใต้ดินที่เชื่อมต่อถึงแทบทุกตรอกซอกซอยในตัวเมือง ทำให้การเดินทางกลับมาพักผ่อนที่บ้านก่อนกลับเข้าไปทำงาน เป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก

ตารางเวลาการทำงานที่สเปนทำให้ฉันต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก ฉันถามเอบาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้เคียง ซึ่งตั้งอยู่เพียงสองถนนถัดจากบ้าน ฉันเดินท่ามกลางแดดจ้าเพียงเพื่อไปซื้อของใช้ส่วนตัว กลับพบว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตปิด ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยความงุนงง และบอกกับเธอว่า "ซุปเปอร์ปิด" เธออึ้งและทำหน้าตารู้สึกผิด พร้อมกับบอกฉันว่า "ขอโทษที ฉันลืมไปว่าซุปเปอร์ยังไม่เปิด จนกระทั่งห้าโมงครึ่ง" หลังจากนั้นเธอจึงเล่าให้ฟังว่า ตารางเวลาการทำงานส่วนใหญ่ที่สเปน รวมถึงซุปเปอร์คือ ช่วงเช้า 9.00-14.00 หลังจากนั้นจะเปิดอีกทีตั้งแต่ 17.30-20.30 ซึ่งช่วงพักกลางวันนั้นเพียงพอที่ทุกคนจะกลับบ้านไปทานอาหารกลางวันพร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้าน และนอนพักกลางวันก่อนกลับไปทำงาน ซึ่งการนอนพักกลางวัน (la siesta) เป็นวัฒนธรรมของชาวสเปน

Wednesday, September 15, 2010

หลับเมืองไทย ตื่นในยุโรป

กริ๊งงงง... กริ๊งงงง...! เสียงโทรศัพท์ฉันดังขึ้นในเช้าวันหนึ่ง หลังจากดูเบอร์โทรที่ขึ้นโชว์อยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ไม่เคยวางห่างจากตัวเลยในช่วงหนึ่งเดือนเศษๆ ที่ผ่านมา ฉันตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์โทรจากทางสถานฑูต คิดอยู่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย

"สวัสดีค่ะ ขอสายคุณอัญขณาค่ะ" เสียงกล่าวทักทายเคร่งครึม
"พูดสายค่ะ" ฉันตอบ
"จากสถานฑูตสเปนค่ะ โทรมาแจ้งว่าวีซ่าของคุณได้รับอนุมัติเรียบร้อยแล้วนะคะ ให้เข้ามารับได้เลยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา บ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง อย่าลืมออกตั๋วเครื่องบินไป - กลับ แล้วถ่ายเอกสารเพื่อมารับหนังสือเดินทางด้วยนะคะ" เสียงคุ้นเคยจากทางสถานฑูตกล่าวชัดถ้อยชัดคำและรวบรัด
"ขอบคุณค่ะ" ฉันกล่าวอย่างตื่นเต้น แแล้วก็ตัดสายไป

หลังจากวางสาย ฉันกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ วิ่งไปแจ้งข่าวให้ทุกคนทราบ และไม่รีรอที่จะโทรศัพท์ไปทางเอเจนซี่เพื่อออกตั๋วเครื่องบินในทันทีทันใด ทุกคนที่บ้านต่างก็ดีใจ แต่ก็เสียใจในเวลาเดียวกันที่ฉันต้องเดินทางไกล​ (อีกแล้ว) ไปต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งคราวนี้ฉันไปนานกว่าทุกครั้ง อย่างน้อยก็เป็นเวลาหนึ่งปี ...​หนึ่งปีที่จะไม่ได้อยู่กับครอบครัว หนึ่งปีที่จะไม่ได้เจอพวกพ้อง หนึ่งปีกับสิ่งใหม่ๆ วัฒนธรรมใหม่ๆ และภาษาแปลกๆ

ฉันเตรียมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ใส่ของไว้มากมายพร้อมทั้งของฝากสำหรับครอบครัวเอบา ของฝากพิเศษสำหรับครอบครัวที่สองของฉัน อย่างน้อยก็ในระยะเวลาหนึ่งปี แม่ฉันมักจะเข้ามาช่วยจัดของในห้อง และกำชับอยู่เสมอว่าให้รู้จักเกรงใจครอบครัวเขา ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายได้ก็ต้องช่วย และกำชับด้วยว่า ถ้าไม่มีเงินก็ให้บอกมา "ห้ามไปล่อวัวกระทิงนะ" ...​ "เอ่อ... เห็นลูกแม่ห่ามขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?" ฉันหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ก่อนจะตอบกลับไปให้แม่มั่นใจและหายห่วง

วันที่ 22 เมษายน ปี 2004 แทบทุกคนที่บ้านเดินทางมาส่งฉันที่สนามบินดอนเมือง พนักงาน Ground ของ Singapore Airlines อัธยาศัยดีให้ฉันนั่งติดหน้าต่าง หลังจากได้ Boarding Pass เรียบร้อยแล้ว ก็ใช้เวลาที่เหลือไม่เท่าไหร่กับครอบครัว วันนี้หลานชายคนเล็กมาส่งฉันขึ้นเครื่องด้วย "ก้อง" ดูจะตื่นเต้นมากกว่าฉัน เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นเครื่องบิน ตลอดเวลาที่รอเครื่อง ก้องไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากทำเสียงตื่นเต้น และร้องบอกทุกครั้งว่า "เครื่องบิน เครื่องบิน!"

เครื่องบินลำใหญ่ Silk Air จอดรออยู่ที่ลาน พนักงานบนเครื่องยิ้มแย้มแจ่มใส หมอน ผ้าห่ม และหูฟังถูกแจกจ่ายให้กับผู้โดยสาร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางข้ามคืน เป็นระยะเวลาถึง 12 ชั่วโมง ฉันเริ่มศึกษาการใช้งานโทรทัศน์ส่วนตัวบนเครื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นชั้นนักธุรกิจก็ตามแต่ หลังจากเครื่องออกได้ไม่นาน สัญญาณรัดเข็มขัดนิรภัยก็ถูกดับลง พนักงานต้อนรับก็เริ่มปฏิบัติภารกิจบนเครื่องบิน "ได้เวลาอาหารเย็นแล้วสิเนี่ย กินเสร็จแล้วจะได้นอน จะได้ไม่ Jet lagged" ฉันรีบค้นหารายการทีวี หรือภาพยนต์ที่น่าสนใจสำหรับอาหารมื้อค่ำ

บ่ายกว่าๆ เวลาท้องถิ่นสเปน ผู้โดยสารส่วนใหญ่เริ่มตื่นและเริ่มเดินพลุกพล่านในเครื่อง เพื่อที่จะเป็นการยืดเส้นยืดสาย ฉันมั่งมองออกนอกหน้าต่างอย่างใจจดใจจ่อ ผืนน้ำสีครามแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนช่างน่าประทับใจ อีกเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น  หลังจากผ่านน่านนานเมดิเตอร์เรเนียนได้ไม่นานนัก นักบินก็เริ่มประกาศลดความสูงเพื่อเข้าจอดที่กรุงมาดริด ทัศนียภาพที่เห็นก็เริ่มเปลี่ยนไป ฉันไม่รู้มาก่อนว่าสเปนเป็นเมืองแห้งแล้ง มองไปทางไหนก็เป็นภูเขาโล้นๆ สีน้ำตาล ฉันเริ่มผิดหวังเล็กน้อย

เอบามารอรับฉันที่สนามบินหลังจากที่ไม่ได้เห็นกันอยู่หลายเดือน เธอเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย ผมทองเป็นลอน เสื้อสายเดี่ยว กางเกงยีนส์ รองเท้าส้นสูง เธอผอมลงนิดหน่อย แต่สวยขึ้นเป็นกอง เอบาทักทายฉันด้วยการแนบแก้มสองครั้ง ตามทำเนียมสเปน หลังจากสนทนาทักทายกันนิดหน่อย เราทั้งสองก็เรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังบ้านของเธอ

สนามบินมาดริดตั้งอยู่ทางเหนือของกรุงมาดริด ถึงแม้การคมนาคมจะสะดวกสบาย มีรถไฟฟ้าใต้ดินจนถึงใจกลางเมือง แต่หากต้องอาศัยรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อเดินทางไปถึงบ้านเอบาซึ่งอยู่ทางใต้ของมาดริด เราคงต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ดังนั้นแท็กซี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ประตูถึงประตู ไม่ต้องลากกระเป๋าใบโต ขึ้นๆ ลงๆ บันไดรถไฟใต้ดิน ซึ่งคนที่นี่เค้าเรียกกันว่า "เมโตร" (METRO)

ป้ายรถไฟฟ้าใต้ดิน แค่เดินตามป้ายก็ถึงประตูรถไฟ

แดนกระทิงในผืนดินความเป็นไท

หลังจากเตรียมตัว เตรียมเอกสารอยู่พักใหญ่ ก็ถึงฤกษ์งามยามดีวันธงชัยสำหรับการไปขอวีซ่า ฉันตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะไปให้ถึงสถานฑูตก่อนเวลาบ่ายโมง ซึ่งเป็นตารางเวลารับยื่นเอกสารขอวีซ่า ฉันเดินทางตรงจากแดนเสนาะเข้าสู่เมืองหลวง เท่าที่จำได้นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้จักสถานฑูตสเปน (เนื่องจากฉันดาวน์โหลดใบสมัครวีซ่าผ่านทางอินเตอร์เน็ต จึงไม่ต้องเข้าไปรับด้วยตัวเองที่สถานทูต) ตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำตัวให้น่าประทับใจ และดูน่าไว้วางใจให้กับทางเจ้าหน้าที่ เพื่อที่จะได้ไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ เพราะถ้าถูกเรียก ฉันจะทำไงดี พูดภาษาสเปนไม่เป็นสักคำ เขาจะให้ไปหรือ ฉันคิด....

แล้วฉันก็เดินทางมาถึงสถานฑูต ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ในขณะที่ย่างก้าวเข้าสู่ประตูแดนกระทิง ต้องมีการสแกนกระเป๋า เอกสาร ปิดโทรศัพท์มือถือ และฝากไว้ที่ยาม ขบวนการทั่วไปสำหรับการเข้าสถานฑูต สถานฑูตสเปนอาจจะดูเล็กและไม่อลังการมากนักหากเปรียบเทียบกับสถานฑูตอเมริกันหรืออังกฤษ เป็นเพียงสำนักงานเล็กๆ เพียงไม่กี่ตารางเมตรภายในอาคารธุรกิจใหญ่ๆ ใจกลางเมือง ภายในถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงเก้าอี้แถวไม่กี่แถวสำหรับการนั่งรอ และหน้าต่างยื่นเอกสารสำหรับคนไทย และคนสเปน เนื่องจากมีคนรอไม่มากนักในยามเช้า ฉันเดินตรงดิ่งเข้าไปยื่นเอกสารกับพนักงานคนไทย หญิงสาวรูปร่างเล็กๆ ดูแล้วอายุน่าจะสัก 30-31 ปีในขณะนั้น ผมเป็นลอนดำ ใส่แว่น ดูท่าทางหยิ่งและขึงขัง ฉันยื่นเอกสารกับเธอ ถึงแม้จะดูหวั่นๆ ว่าคงจะยากที่จะให้วีซ่า และไม่มีทางเลือก ก็มีแค่หน้าต่างเดียว และมีพนักงานแค่คนเดียวที่จะให้ยื่นเอกสาร เอาล่ะน่ะ! ลองดู... เธอเช็คและเรียงเอกสารที่ฉันเตรียมมาเพียบพร้อม หลังจากอ่านเอกสารอยู่พักใหญ่ เธอก็เริ่มบทสัมภาษณ์

"จะเดินทางไปเมืองไหนคะ" เธอถาม
"มาดริดค่ะ" ฉันตอบพร้อมกับคิดไปว่า ก็เขียนไว้ในใบสมัคร ยังต้องถามอีก
"จะไปเรียนอะไรคะ" เธอถามซ้ำอีกครั้ง หลังจากอ่านเห็นว่าฉันจะไปเรียนต่อ
"เรียนถ่ายรูปค่ะ" ฉันตอบ
"แล้วรู้ภาษาสเปนเหรอ" เธอถามคำถามตรงประเด็น
"เอ่อ... ไม่รู้ค่ะ แต่ว่าคอร์สเป็นภาษาอังกฤษ" ฉันตอบอย่างไม่ลังเล และจริงจัง
"อ้าว แล้วทำไม่ไปเรียนที่อังกฤษหรือเมืองที่เค้าพูดภาษาอังกฤษล่ะคะ" เธอถาม
"เอ่อ... " ฉันคิดก่อนตอบ "โรงเรียนนี้มีชื่อเสียงในสเปนค่ะ เพื่อนชาวสเปนแนะนำมา และค่าเรียนถูกกว่าที่อังกฤษ และสเปนก็เป็นเมืองยุโรป ดิฉันคิดว่าสิ่งแวดล้อมและแรงบันดาลใจในศิลปะคงจะไม่น้อยไปกว่าอังกฤษแน่นอน"
"อืม ก็จริงเนอะ" เธอตอบอย่างเป็นมิตร "แล้วจะไปพักกับใครล่ะ"
"พักกับเพื่อนคนสเปนค่ะ อย่างที่เห็นจากเอกสารที่เค้าทำรับรองให้จากโน้น รู้จักกันจากออสเตรเลียค่ะ" ฉันตอบพร้อมกับชี้ไปที่แฟ้มสีเขียวจาก Notaria
 เธอพยักหน้าพร้อมกับหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน หลังจากบทสนทนาเงียบงันได้สักพัก เธอก็เงยหน้าขึ้นมาบอกกับฉันว่า
"คุณต้องนำเอกสารมาเพิ่มนะ เอกสารของสปอนเซอร์ทางเมืองไทย ในที่นี้น่าจะเป็น... " เธอลากเสียงเพื่อรอคำตอบ
"คุณพ่อค่ะ" ฉันตอบทันควัน
"ค่ะ เอกสารการทำงานของคุณพ่อ ถ้ามีธุรกิจส่วนตัวอย่างที่บอกไว้ในใบสมัคร ก็ต้องยื่นใบรับรองการค้า หรือใบแสดงความเป็นเจ้าของธุรกิจนะ" หลังจากพูดจบเธอก็ปั๊มเอกสารทั้งหมดเป็นการยื่นยันว่าใบสมัครของฉันได้ถูกรับเข้าพิจารณาอย่างเป็นทางการ พร้อมกับบอกว่า "นำเอกสารมายื่นให้ไวที่สุดนะ แล้วก็รอคำตอบจากทางสถานฑูต เราจะโทรไปแจ้งว่าได้วีซ่าหรือไม่ หรือว่าต้องเข้ามาสัมภาษณ์เพิ่มเติม ไม่ต้องโทรมาถามเพราะทางเราจะไม่รับโทรศัพท์ ถ้าหลังจาก 7 สัปดาห์ยังไม่ได้รับโทรศัพท์ ค่อยโทรเข้ามาถาม ซึ่งส่วนใหญ่จะแปลว่าวีซ่าไม่มีปัญหา ให้เดินทางเข้ามารับได้เลย" เธอพูดจบ พร้อมกับยิ้ม เหมือนจะบอกกับฉันว่าเป็นนัยๆ ว่า เสร็จแล้วค่ะ กลับบ้านไปได้แล้ว ฉันยิ้มตอบพร้อมกล่าวขอบคุณก่อนที่จะขอตัวออกจากหน้าต่าง

ฉันเดินออกจากสถานฑูตด้วยความโล่งอก ถึงแม้ว่าจะต้องกลับเข้ามายื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก ทุกอย่างราบรื่นไปด้วยดี ไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิดไว้ พนักงานก็ดูอัธยาศัยดี ถึงแม้ว่าลีลาในการพูดจะกระโชกโฮกฮากไปนิด และขึงขังไปหน่อย แต่นั่นก็เป็นงานของเขานี่นา ถ้าใจดีเกินไป ทุกคนคงประเหลาะขอวีซ่ากันหมด คงวุ่นวายใจแย่

หลังจากมาถึงรถก็เริ่มโทรศัพท์หาทางบ้าน เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "7 อาทิตย์??? ทำไมนานจัง" ฉันไม่ทันได้คิดว่ามันจะนาน แต่หลังจากนั้นก็เริ่มคิด "นี่ฉันต้องรอถึงเดือนครึ่งเลยหรือนี่" มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต้องดำเนินชีวิตปกติ ควบคู่ไปกับการรอคอย เหมือนกับว่าใครจะมาตัดสินชีวิตให้เรา ว่าเราจะเดินทางไปต่อทางใด หรือว่าจะหยุดอยู่ที่ตรงไหน เวลาเดือนครึ่ง ที่ฉันรอคอยโทรศัพท์ทุกๆ นาทีที่ผ่านไป ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกใหม่ มันช่างทรมานเหลือเกิน แต่ฉันก็ใช้เวลาที่ผ่านไปอย่างมีค่า ด้วยการช่วยเหลืองานที่บ้าน และศึกษาภาษาสเปนเบื้องต้นทั้งผ่านทางอินเตอร์เน็ต และคอร์สที่อักษรจุฬาฯ อีกทั้งยังซื้อหนังสือท่องเที่ยวสเปนมาอ่านเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ แล้วฉันตัดสินใจเดินทางไปสเปนด้วยความรู้เท่าหางอึ่งเกี่ยวกับเมืองสเปน อย่าต้องให้พูดถึงภาษาท้องถิ่นเลย เอาแค่ว่าสเปนมีเมืองใดน่าสนใจบ้าง มีอะไรที่มีชื่อเสียงบ้าง ฉันไม่รู้สักนิด รู้เพียงแต่ว่า ฉันต้องไปเมืองแห่งความบันดาลใจที่ฉันเห็นอยู่ที่หน้าปกของหนังสือท่องเที่ยว เมืองแห่งบ้านหลากสี ที่ช่างบ่งบอกถึงบุคลิกภาพชาวสเปนได้อย่างดีนัก มันทำให้ฉันนึกถึงคนพื้นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งชีวิต ผู้คนที่ใช้ชีวิตอิสระ และสนุกสนาน และฉันก็รอคอยวีซ่าด้วยความหวัง

อาคารหลากสีสัน แรงบันดาลใจ - Cuenca, Spain (อ่านว่า เกวนกา)

Friday, September 3, 2010

เกริ่น... "ทำไมสเปน"

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เขียนบล็อกของตัวเอง..... ตั้้งลำมานานแรมปี

คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุด ตั้งแต่ก่อนการเริ่มเดินทาง จนถึงกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังถูกถามอยู่ ตั้งแต่ญาติพี่น้อง เพื่อนพ้อง จนถึงคนแปลกหน้า "ทำไมสเปน???" นั่นน่ะสิ ทำไมถึงสเปน แล้วทำไมทุกคนถึงถามคำถามนี้ ก็เพราะเมื่อการเดินทางไปอังกฤษ อเมริกา หรือออสเตรเลียกำลังอิน ฉันเดินทางมาสเปน.... มันก็ไม่น่าแปลกหรอกที่ทุกคนจะถาม เพราะแทบจะไม่มีใครรู้จักสเปนดีสักทีเดียว ว่าจะไปทำอะไร อยู่ที่ไหน กินยังไง... ต่างๆ นานา

การวางแผนการเดินทางมาถิ่นกระทิงดุเริ่มต้นจากการใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ในออสเตรเลีย หลังจากอยู่ร่วมชายคากับชาวละติน กินอยู่กับชาวละติน ฟังเรื่องเล่าต่างๆ เป็นภาษาสเปน ที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นภาษาแห่งพระเจ้า หรือเพื่อนชาวเกาะของฉันบอกว่าเป็นภาษาแห่งความรัก อืมมม... ฟังดูดีทีเดียว ถึงแม้จะฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียดไม่ได้สักคำ แต่มันก็มีพลังมากบอกที่ฉันจะแบ่งปันส่วนของความเป็นไทยที่ฉันมีอยู่น้อยนิดในขณะนั้น ให้ความเป็นสแปนิชเข้ามามีส่วนหนึ่งในชีวิต

กลุ่มผองเพื่อนที่ว่ากันได้ว่าเกือบจะอยู่ร่วมชายคากันในบริสเบนมีทั้งชาวเม็กซิกัน ชาวสเปน ชาวอาร์เจนติน่า ชาวชิเลียน และชาวโคลัมเบียน ซึ่งมีฉันเพียงคนเดียวที่ต้องอาศัยภาษาอังกฤษในการสื่อสาร หลังจากการเรียน การสนุกสนาน และการใช้ชีวิตสำมะเลเทเมากับชาวละตินซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพวกที่รักสนุกมากที่สุดในโลก ก็ถึงเวลาย่างก้าวกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน... ขอบคุณ Microsoft และ Messenger ที่เป็นสื่อให้ฉันได้ติดต่อพูดคุยและวางแผนอย่างต่อเนื่องในการเดินทางมายังสเปน

หลังจากติดสินใจได้แล้วว่าถ้าอยากจะเรียนภาษาสเปน ที่ใดจะดีไปกว่าแผ่นดินแม่ของภาษาสเปน ไม่ใช่อาร์เจนติน่า หรือเม็กซิโกอย่างแน่นอน (อย่าน้อยใจนะเพื่อน) เพื่อนสาวแสนสวยของฉัน "Eva" (ออกเสียงว่า "เอบา") ได้ช่วยทำเอกสารการเดินทางมาเรียนต่อที่กรุงมาดริด สิ่งที่ฉันต้องเตรียมตัวจากเมืองไทยคือหนังสือรับรองการเรียน ไม่ว่าจะเป็นเอกสารรับเข้าเรียนต่อจากทางโรงเรียนสอนภาษาหรือโรงเรียนใดๆ ที่ฉันคิดอยากจะเรียนต่อ เอบาต้องทำหนังสือรับรองการเป็นสปอนเซอร์ให้ฉัน ก็ต้องเป็นเรื่องเป็นราวเดือดร้อนถึง Juan María (ออกเสียงว่า "คฮวน มาเรีย") พ่อผู้แสนดีของเอบาให้ทำหนังสือรับรองให้มาพักอาศัยที่บ้านเขา ซึ่งฉันมารู้เรื่องราวความยุ่งยากของการทำหนังสือนี้หลังจากเหยียบย่างสู่แผ่นดินกระทิง

หนังสือรับรองนี้ต้องยื่นเรื่องทำต่อหน้า Notaria ซึ่งก็คือสำนักงานทนายความนั่นเอง เอกสารที่ต้องทำยื่นก็คือหนังสือรับรองเงินเดือน เอกสารประชาชน และอาจต้องยื่นสมุดธนาคารเพื่อนยืนยันว่าบุคคลผู้นี้มีความสามารถทางการเงินพอเพียงที่จะเอื้อเฟื้อที่อยู่ให้ผู้อื่นได้พักอาศัย นั่นก็หมายถึงว่าจะมีเงินพอซื้อข้าวให้ฉันกินหรือเปล่าว่างั้นเหอะ... เฮ้อ

เอาละ หลังจากได้เอกสารทุกอย่างเรียบร้อยทั้งจากทางโรงเรียน และจากทางสปอนเซอร์ ก็ถึงคราวยื่นเรื่องขอวีซ่า ณ สถานทูตสเปน ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่ อาคา Lake รัชดา ตรงข้ามศูนย์สิริกิตต์ Unit 98-99 ชั้น 23 โทรศัพท์ 02 252 6112, 02 252 8268 และ 02 253 5132-34 เอกสารที่ต้องยื่นก็เยอะแยะอย่างที่ทุกคนรู้กัน ซึ่งคร่าวๆ ก็มีดังนี้

1. เอกสารตอบรับจากทางโรงเรียน
2. เอกสารรับรองจากทางสปอนเซอร์ (เอกสารจากคฮวนมาเรีย)
3. จดหมายเกริ่นนิดหน่อยว่าทำไมเราอยากไปเรียนที่นั่น ถ้าไม่รู้ภาษาสเปนก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ได้
4. หนังสือรับรองการเงินจากธนาคาร ของสปอนเซอร์ทางเมืองไทย ซึ่งก็คือบิดาของดิฉันนั่นเอง ในที่นี้เป็นหนังสือรับรองเนื่องจากพ่อฉันมีบัญชีกระแสรายวัน ถ้าเป็นบัญชีออมศัพท์ก็ควรจะมีเงินมากเพียงพอที่จะไปใช้อยู่กินที่โน่น ซึ่งก็ประมาณ 50€ ต่อวันก็คำนวณกันไป (หลักนี้ใช้ได้กับการทำวีซ่าท่องเที่ยวยุโรปในเขตเชงเก้นเช่นกัน)
5. บัตรประชาชนของสปอนเซอร์
6. รูปถ่ายเรา
7. พาสปอร์ตเรา
8. ใบสมัครวีซ่า
9. ใบจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ (อย่าเพิ่งออกตั๋วนะ เผื่อไม่ได้วีซ่า)

ทุกอย่างควรจะถ่ายเอกสารเป็นสองชุด

อืม.. เมื่อเอกสารพร้อมแล้วก็แต่งตัว หมุนซ้ายหมุนขวาหน้ากระจก ดูให้ดีว่าเราไม่เหมือนพวกที่เค้าจะต้องห้ามเข้าประเทศ แล้วก็เตรียมบทสัมภาษณ์ให้ดีๆ

ไว้มาดูกันต่อว่าฉันเจออะไรบ้างที่สถานทูต (ว่ากันว่าเป็นอาณาเขตกระทิงดุแล้วแหละ) ...